สหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ
(ไอยูซีเอ็น) ร่วมมือกับองค์การเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ
ศึกษาสภาพของแนวปะการังในแถบทะเลแคริบเบียน
ที่ถือเป็นแหล่งปะการังสำคัญคิดเป็นสัดส่วนถึง 9 เปอร์เซ็นต์
ของแนวปะการังโลกทั้งหมด และนักวิชาการด้านชีววิทยายึดถือว่าเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดของโลก
พบว่า แนวปะการังจำนวนมหาศาลในท้องทะเลแถบนี้หลงเหลืออยู่เพียงแต่ 1 ใน 6 ของปริมาณที่เคยมีอยู่เดิม
และอาจหายไปจนหมดภายในระยะเวลาเพียง 20 ปี
หากยังไม่ดำเนินการแก้ไข
ผลการศึกษาดังกล่าวนี้ระบุว่า
แนวปะการังแคริบเบียนเสียหายอย่างหนักมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบที่เกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์
ตั้งแต่การทำประมงเกินขอบเขต, การท่องเที่ยว, มลภาวะ เรื่อยไปจนถึงภาวะโลกร้อน ทำให้ในช่วงระยะเวลาเพียง 40 ปีที่ผ่านมา แนวปะการังในพื้นที่ดังกล่าวนี้มากถึง 50 แนวถูกทำลายไปจนหมด
และถ้าหากยังคงปล่อยให้ทุกอย่างยังคงดำเนินไปโดยปราศจากการแก้ไข
แนวปะการังทั้งหมดของแคริบเบียนจะหายไปภายในเวลาอีก 20 ปีข้างหน้า
คาร์ล กุสตาฟ ลุนดิน หัวหน้าโครงการเพื่ออนุรักษ์ขั้วโลกและทะเลโลกของไอยูซีเอ็น
บอกว่าระดับความเร็วของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับแนวปะการังแคริบเบียนนั้นน่าตกใจมาก
เหตุปัจจัยนั้นมีหลายทางด้วยกัน อย่างเช่นภาวะโลกร้อน
ทำให้สภาพของท้องทะเลเป็นกรดมากขึ้น ทำให้เกิดการตายของแนวปะการังลามเป็นแถบที่เรียกกันว่า
ปะการังฟอกขาว
ถูกยึดถือกันมาเป็นเวลานานว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แนวปะการังเสียหาย
แต่ในการศึกษาครั้งนี้พบว่า
ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้แนวปะการังตายลงอย่างรวดเร็วมากจนถึงขณะนี้ก็คือ
การหายไปของปลาปากนกแก้วและหอยเม่นต่างหาก
ปลาปากนกแก้ว กับ
หอยเม่น ได้ชื่อว่าเป็น "นักเก็บกวาด" ของท้องทะเลแถบนี้
ด้วยการเล็มสาหร่ายกินเป็นอาหาร เมื่อจำนวนปลาปากนกแก้วและหอยเม่นลดลง
สาหร่ายจะลามปกคลุมแนวปะการังอย่างรวดเร็ว ปิดกั้นการ "หายใจ"
ของปะการังจนตายลงในที่สุด ทีมวิจัยพบว่าในปี 1983 เกิดโรคระบาดบางอย่างที่ทำให้หอยเม่นส่วนใหญ่ในบริเวณนั้นตายลง
ต่อมาการทำประมงแบบเกินขีดจำกัด (โอเวอร์ฟิชชิ่ง) ตลอดศตวรรษที่ 20 ทั้งศตวรรษ ทำให้ประชากรปลาปากนกแก้วในบริเวณดังกล่าวเหลือน้อยเต็มที
บางแห่งถึงกับเกือบสูญพันธุ์เลยทีเดียว
"การขาดหายไปของสัตว์ทั้งสองชนิด
ทำลายสมดุลที่ละเอียดอ่อนอย่างมากของระบบนิเวศแนวปะการังตามธรรมชาติไป
จนกระทั่งสมมติว่าภาวะโลกร้อนยุติลงทันทีในตอนนี้
แนวปะการังก็จะยังคงลดลงอย่างรวดเร็วอยู่ต่อไป" รายงานดังกล่าวระบุ
แต่ลุนดินบอกว่า
ยังพอมีเวลาหลงเหลือให้หาทางยับยั้งความเสียหายของแนวปะการังดังกล่าว
แต่ต้องเริ่มทำอย่างหนักแน่นมั่นคงตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้เวลาแนวปะการังฟื้นฟู
ตั้งแต่กำจัดการทำประมงเกินขอบเขต
การป้องกันไม่ให้ชาวประมงเข้าไปทำประมงใกล้แนวปะการังมากเกินไป
จัดโซนนิ่งเพื่อสกัดกั้นการก่อสร้างโรงแรมและรีสอร์ตท่องเที่ยวไม่ให้เข้าไปใกล้แนวชายฝั่ง
และจัดการบำบัดน้ำเสียจากที่พักนักท่องเที่ยวดังกล่าวให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ออกกฎหมายห้ามการจับปลาปากนกแก้ว เป็นต้น
ที่สำคัญก็คือ
มาตรการทั้งหมดนี้ 38 ประเทศในพื้นที่แคริบเบียนต้องทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้ได้
|
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
แนวปะการังแคริบเบียน อาจหายเกลี้ยงใน 20 ปี
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
About Me "หนูทำเอง"
Popular Posts
-
การอนุรักษ์และการฟื้นฟู แนวทางการอนุรักษ์แหล่งหญ้าทะเล ใน อดีตการจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากรปะการังและป่าชายเลน ได้รับความสนใจมาก แต...
-
พวกเรา ได้ไปเก็บผักตบชวา ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำเน่าเสียรวมไปถึงทำแนวกั้นไม่ให้ผักตบชวาเข้ามาในชายฝั่งบริเวณนี้อีกด้วย แล้ว...
-
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างฉลาด โดยใช้ให้น้อย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูง...
-
มหาสมุทรเป็นของทุกคน คำกล่าวที่ว่า “One planet, One Ocean” อาจเป็นแนวคิดที่ฟังเป็นอุดมคติของนักอนุรักษ์ แต่ทฤษฎีของนักธรณีวิทยาได้พ...
-
ปัญหา คราบน้ำมัน จากกรณีข้อต่อท่อส่ง น้ำมันรั่ว กลางทะเล จ.ระยอง ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลต่อผลกระทบของระบบนิเวศน์ทั้งในระ...
-
\ ปัจจุบันเราทราบดีแล้วว่า สิ่งแวดล้อมของโลกได้ถูกมนุษย์ทำลายลงเป็นอย่างมาก เช่นการตัดไม้ทำลายป่าการกระทำของมนุษย์ที่ก่อให้เกิด...
-
เปลี่ยนขยะเป็นทรัพยากรและพลังงาน 1. การจัดการขยะด้วยแนวคิด 7 R แนวคิดด้านการจัดการขยะเพื่อการปรับตัวต่อภาวะโลกร้อน คือก่อนจะทิ้งขย...
-
1. ปิดสวิตซ์ให้หมด โหมดสแตนบายของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เขมือบไฟฟ้าตลอดเวลา และอาจทำให้ค่าไฟฟ้าของแต่ละบ้านสูงขึ้นอีกปีละ 4,000 บาทโดยไม...
-
สวัสดีครับ/ค่ะ รายชื่อสมาชิก นายโยธิน คงณรงค์ (บอส) เลขที่ 5 นายฐานิสร พุทธรักษา (พริก) เลข...
Destination(จุดมุ่งหมายในการทำงาน)
นำเสนอข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั่วไทยและทั่วโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น