ขับเคลื่อนโดย Blogger.

"ขยะอิเล็กทรอนิกส์” ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากสังคมเทคโนโลยี

  

"ขยะอิเล็กทรอนิกส์" ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากสังคมเทคโนโลยี



ด้วยความหลากหลายของเทคโนโลยีที่มีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเหตุให้การบริโภคสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และกระจายไปสู่ประชากรทุกชนชั้น ทั้งโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์รุ่นใหม่ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ประกอบกับการก้าวกระโดดของภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้การล้าสมัยของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดเป็นไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ในปีหนึ่งๆ เราบริโภคสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์กันมากน้อยเพียงใด บางคนอาจจะตอบว่า เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือทุกปี เพราะรุ่นใหม่ๆ ออกมาอยู่ตลอด ถ้าไม่เปลี่ยนอาจจะตกเทรนด์ โดยเฉพาะโทรทัศน์จอแอลซีดี ที่มีราคาต่ำลงจนน่าตกใจ ยังไม่รวมคอมพิวเตอร์ ที่หลายท่านมีไว้ในครอบครองทั้งพีซีและโน้ตบุ้ค ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ หลายท่านก็ใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพหรือเต็มอายุสินค้านัก ก็อาจจะเปลี่ยนใหม่ เรามักจะหาซื้อมาใช้กันมากมาย โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะเสื่อมสภาพการใช้งานเมื่อใด และจะนำไปกำจัดทิ้งอย่างไร เพื่อไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน และผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม
นั่นทำให้เราเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างไม่ตั้งใจในการสร้างกองภูเขาใหญ่ที่ชื่อ ขยะอิเล็กทรอนิกส์
ในวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ให้ความหมายไว้ว่า ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเวสต์” (e-waste) เป็นของเสียที่ประกอบด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เสียหรือไม่มีคนต้องการแล้ว ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นประเด็นวิตกกังวล เนื่องจากชิ้นส่วนหลายชิ้นในอุปกรณ์เหล่านั้น ถือว่าเป็นพิษ และไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้
ความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีทุกวันนี้ยังมีส่วนเร่งให้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในสภาพตกรุ่นเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีอัตราการเปลี่ยนเครื่องบ่อยที่สุด อายุการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน อยู่ระหว่าง 3-5 ปี ขณะที่โทรศัพท์มือถือมีอายุใช้งานเฉลี่ย 18 เดือน อายุการใช้งานบวกกับจำนวนผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกนั้น กำลังเป็นปัจจัยที่เพิ่มขึ้นของขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปพร้อมๆ กัน
ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จากทั่วโลกมีมากถึง 40 – 50 ล้านตันต่อปี ในประเทศไทยเองจากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2546 ประเทศไทยมีขยะอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 58,000 ตัน ในปี 2547 – 2548 มีการนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มือสองจากญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี และสิงคโปร์ มากถึง 265,000 ตัน จะเห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมากจนน่าตกใจ
ปัจจุบันปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์มีอัตราการเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 เท่าของขยะมูลฝอยในชุมชน โดยเฉพาะขยะที่มาจากผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงรุ่นและตกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีการเลิกใช้ และถูกทิ้งเป็นขยะสะสมเป็นปริมาณมากตามความต้องการของตลาด
นอกจากนี้ ประเทศไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของปลายทางขยะอิเล็กทรอนิกส์จากทั่วโลก ซึ่งถูกแฝงมาในรูปของการนำเข้าสินค้าคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่ใช้แล้วจากต่างประเทศ ซึ่งมีอายุการใช้งานสั้น และพร้อมจะเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ สร้างปัญหามลพิษต่อไป
ถ้าหากใครเคยไปเดินที่พันธ์ทิพย์ จะเห็นว่ามีคอมพิวเตอร์มือสองวางขายเป็นจำนวนมาก และคนก็ชอบซื้อ เพราะราคาถูกกว่า 50-70% เลยทีเดียว
วงจรชีวิตของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนมาก ไม่ทราบถึงมหันตภัยร้ายแรงที่มีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากวงจรชีวิตของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การใช้สารพิษที่เป็นอันตรายอย่างสารปรอท ตะกั่ว และสารทนไฟในกระบวนการผลิต ที่สามารถก่อให้เกิดการปนเปื้อนสารพิษในสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของคนงาน อีกทั้งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการรีไซเคิล และการกำจัดอีกด้วย



ทำไมขยะอิเล็กทรอนิกส์จึงมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม?
เนื่องจากส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ มีสารโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถจำแนกสารอันตรายที่อยู่ในผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าไว้ได้ ดังนี้

ตะกั่ว เป็นส่วนประกอบในการบัดกรีแผ่นวงจรพิมพ์ หลอดภาพรังสีแคโทด (CRT) เป็นต้น โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไปทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ระบบโลหิต การทำงานของไต การสืบพันธุ์ และมีผลต่อการพัฒนาสมองของเด็ก และทำลายระบบประสาท ระบบเลือด และระบบสืบพันธุ์ในผู้ใหญ่ นอกจากนี้ พิษจะสามารถสะสมได้ในสิ่งแวดล้อมก่อให้เกิดผลเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรังได้ในพืช และสัตว์

 แคดเมียม มักพบในแผ่นวงจรพิมพ์ ตัวต้านทาน และหลอดภาพรังสีแคโทด เป็นต้น ซึ่งสารนี้จะสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะที่ไต ทำลายระบบประสาท ส่งผลต่อพัฒนาการและการมีบุตร หรืออาจมีผลกระทบต่อพันธุกรรม

ปรอท มักพบในตัวตัดความร้อน สวิตซ์ และจอแบน โดยจะส่งผลในการทำลายอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งสมอง ไต และเด็กในครรภ์มารดาได้ และถ้าลงสู่แหล่งน้ำจะเปลี่ยนรูปเป็น Methylated Mercury และตกตะกอน ซึ่งสะสมในสิ่งมีชีวิตได้ง่าย และจะสะสมต่อไปตามห่วงโซ่

โครเนียมเฮกซาวาแลนท์ ใช้ในการป้องกันการกัดกร่อนของแผ่นโลหะเคลือบสังกะสี ซึ่งสามารถผ่านเข้าสู่ผนังเซลล์ได้ง่าย จะส่งผลในการทำลายดีเอ็นเอ และเป็นสารก่อมะเร็งสำหรับมนุษย์

บริลเลียม ใช้ในแผนวงจรหลัก เป็นการก่อมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งปอด โดยผู้ที่ได้รับสารนี้อย่างต่อเนื่องจากการสูดดมจะกลายเป็นโรค Beryllicosis ซึ่งมีผลกับปอด หากสัมผัสก็จะทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังอย่างรุนแรง

สารหนู ใช้ในแผงวงจร ซึ่งทำลายระบบประสาท ผิวหนังและระบบการย่อยอาหาร หากได้รับปริมาณมากอาจทำให้ถึงตายได้

แบเรียม ใช้ในแผ่นหน้าของหลอดรังสีแคโทด ซึ่งเป็นสารที่มีผลต่อสมอง ทำให้สมองบวม กล้ามเนื้ออ่อนล้า ทำลายหัวใจ ตับ และม้าม

ตัวทนไฟทำจากโบรมีน ใช้ในกล่อง พลาสติกของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แผงวงจร และตัวเชื่อมต่อ ซึ่งเป็นสารที่มีพิษและสามารถสะสมได้ในสิ่งมีชีวิต ถ้ามีทองแดงร่วมด้วยจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไดออกซิน และฟิวแรนระหว่างการเผา เนื่องจากตัวทนไฟทำจากโบรมีนมีอยู่หลายรูปแบบ แบบที่มีอันตรายมากจะเป็นโบรมีนมีอยู่หลายรูปแบบ แบบที่มีอันตรายมากจะเป็นโพลีโบรมิเต็ดไบฟีนีล (Polybrominated Biphenyls-PBBs) ซึ่งก่อให้เกิดไดออกซิน สารก่อให้เกิดมะเร็งทำลายการทำงานของตับ มีผลกระทบต่อระบบประสาท และภูมิต้านทาน ทำให้การทำงานของต่อไทรอยด์ผิดพลาด รวมถึงระบบต่อมไร้ท่อสามารถสะสมในน้ำนมของมนุษย์ และกระแสเลือด สามารถถ่ายทอดในห่วงโซ่อาหาร

ตัวอย่างสารพิษในขยะอิเล็กทรอนิกส์
ตะกั่ว ใช้มากในแบตเตอรี่ ผสมในฉนวนสายไฟ (PVC) แผ่นวงจรพิมพ์ (ตะกั่วบัดกรี) 
ปรอท พบในเครื่องมือวัดสวิตซ์ หลอดไฟ Thermostat รีเลย์ 
แคดเมียม ใช้ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ IR Detector จอภาพ รังสี แคโทด ผสมในพีวีซี 
แคดเมียม 6 ผงสี ป้องกันการกัดกร่อนใน Heat Exchange 
คลอรีน ฉนวนสายไฟ 
อาร์เซนิก (สารหนู) ในอุปกรณ์ความถี่สูง ในแผงวงจรไฟฟ้าของโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยตัวเองเป็นสารพิษอันตราย และถ้าไปรวมกับวัสดุมีค่าอื่น ๆ เช่นทองแดง ก็จะทำให้ทองแดงปนเปื้อนอันตรายไปด้วย

การรับมือกับปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์
ขณะที่ทั่วโลกตื่นตัวการรับมือขยะอิเล็กทรอนิกส์ สหภาพยุโรปได้ออกระเบียบว่าด้วยเศษซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Waste Electrical and Electronic Equipment: WEEE) และ ระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารอันตรายบางชนิดในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (The Restriction of the use of certain Hazardous Substance in electrical and electronic equipment: RoHS) โดยใช้บังคับกับผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งกำหนดให้ผู้ผลิตอุปกรณ์ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวม กู้คืนและกำจัดอุปกรณ์ที่ผู้บริโภคไม่ใช้งานแล้ว เพื่อรณรงค์ให้ผู้บริโภคตระหนักถึงผลกระทบจากการทิ้งอุปกรณ์ที่ยังสามารถใช้งานได้ต่อไป หรืออุปกรณ์ที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้วให้นำอุปกรณ์เหล่านี้กลับไปใช้ใหม่ หรือนำไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี และการรณรงค์ให้บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ให้พิจารณาและปรับปรุงการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น
ด้วยเหตุดังกล่าว ประเทศที่พัฒนาแล้วจึงมีการส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปยังประเทศกำลังพัฒนาเป็นประจำ ซึ่งยังไม่มีกฎหมายหรือไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองคนงานและสิ่งแวดล้อม ทั้งการรีไซเคิลขยะในประเทศกำลังพัฒนายังมีต้นทุนถูกกว่า เช่น ต้นทุนการรีไซเคิลกระจกจากจอคอมพิวเตอร์ในสหรัฐฯ คิดเป็น 0.5 เหรียญต่อน้ำหนัก 1 ปอนด์ เทียบกับ 0.05 เหรียญในประเทศจีน และหลายครั้งการส่งออกดังกล่าวเป็นการละเมิดอนุสัญญาบาเซล (มาตรการสกัดกั้นการลักลอบเคลื่อนย้ายซากขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปทิ้งในประเทศอื่น) และจากการตรวจสอบท่าเรือ 18 แห่งในยุโรปเมื่อปี 2548 พบว่า มากถึงร้อยละ 47 ของขยะเหล่านี้ซึ่งรวมทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ถูกส่งออกไปอย่างผิดกฎหมาย เฉพาะในอังกฤษ ขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างน้อย 23,000 เมตริกตันถูกส่งออกอย่างผิดกฎหมายโดยไม่มีการระบุว่าเป็นสินค้าประเภทใดในปี 2546 ไปยังตะวันออกไกลไม่ว่าจะเป็นอินเดีย แอฟริกาและจีน ในสหรัฐฯ ประมาณกันว่าร้อยละ 50-80 ของขยะที่ถูกรวบรวมเพื่อการรีไซเคิล ก็จะถูกส่งออกไปในลักษณะเดียวกัน แต่การกระทำเช่นนื้ถือว่าถูกกฎหมายเพราะว่าสหรัฐฯ ไม่ได้ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาบาเซล
เมื่อขยะอิเล็กทรอนิกส์กำลังเป็นปัญหาสำคัญกับสิ่งแวดล้อม องค์การสหประชาชาติจึงได้ริเริ่ม โครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมโครงการใหม่ เพื่อแก้ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์” (Solving the E-Waste Problem : StEP) ขึ้นมา เพื่อรณรงค์ลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ภายใต้ความร่วมมือทั้งจากหน่วยงานของภาครัฐและเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ บริษัท ไมโครซอฟท์, บริษัท อีริคสัน, บริษัท ฮิวเลตต์แพคการ์ด (เอชพี) และบริษัทเดลล์ เป็นต้น
การรณรงค์ลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์จะเริ่มตั้งแต่การจัดการกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ การใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำไปใช้อีก (Recycle)

การใช้ซ้ำ (Reuse) เป็นการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว และที่ไม่ต้องการใช้กลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง อาจจะนำมาซ่อมแซม หรือนำไปบริจาคให้กับผู้ที่ขาดแคลน ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่าง สหรัฐอเมริกา ได้นำเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เลิกใช้แล้ว ไปบริจาคให้ประเทศที่กำลังพัฒนาในแถบแอฟริกาและเอเชีย

การรีไซเคิล (Recycle) เป็นการนำส่วนที่ยังเป็นประโยชน์ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยแยกส่วนประกอบและวัตถุที่มีค่าภายในออกมา อาทิ โลหะมีค่า เงิน ทองคำขาว และทองแดง เป็นต้น ซึ่งสามารถนำไปรีไซเคิลและนำไปผลิตอุปกรณ์อย่างอื่นได้อีกทางหนึ่งด้วย
แม้ว่าจะเราจะมีวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day) ในวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เพื่อรณรงค์ให้คนรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ปัญหาเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์คงไม่สามารถจบลงได้ด้วยการรณรงค์เพียงแค่ปีละ 1 วันเท่านั้น หากแต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการสร้างจิตสำนึกในการใช้งานเทคโนโลยี ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ก็ดี การเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือตามแฟชั่นก็ดี การผลิตสินค้าไอทีที่ต่ำกว่ามาตรฐานออกมาวางจำหน่ายก็ดี ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป สักวันหนึ่งขยะอิเล็กทรอนิกส์ก็คงจะล้นเมือง
โปรดช่วยกันก่อนที่ประเทศไทยจะเต็มไปด้วยขยะอิเล็กทรอนิกส์

แหล่งที่มา: http://www.okanation.net,http://www.rubbergreen.co.th


< >

ความรู้ติดตัว ช่วยลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ด้วยแนวคิด 7R


เปลี่ยนขยะเป็นทรัพยากรและพลังงาน

1. การจัดการขยะด้วยแนวคิด 7 R

แนวคิดด้านการจัดการขยะเพื่อการปรับตัวต่อภาวะโลกร้อน คือก่อนจะทิ้งขยะควรหยุดคิดสักนิดว่าจะสามารถลดปริมาณขยะ หรือนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ แนวคิดที่น่าสนใจคือแนวคิด 7R ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
image0016 การจัดการขยะ : การจัดการขยะด้วยแนวคิด 7R
1)     
Rethink  ( คิดใหม่ )

เป็นการเปลี่ยนความคิดเรื่องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ได้ทำตามกระแสแต่อย่างเดียว  แต่ทำจากใจหรือจากจิตสำนึกที่ดี  เช่น

-          การซื้อสินค้าที่ผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

2)     Reduce  ( ลดการใช้ )

เป็นการลดใช้ทรัพยากรให้เหลือเท่าที่จำเป็นหรือนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด  เช่น

-           ใช้ถุงผ้าหรือตะกร้าหวาย…เลิกง้อถุงพลาสติก
-          ใช้กล่องข้าวหรือปิ่นโต…ลดการใช้โฟม
-          ใช้แก้วน้ำส่วนตัว…งดใช้แก้วที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
-          พยายามอย่าใช้กระดาษสิ้นเปลือง  ควรพิมพ์และถ่ายเอกสารเท่าที่จำเป็น  จะช่วยลดการตัดต้นไม้และลดพลังงานในการผลิตได้
-          ลดเว้นขอบกระดาษลงจากมาตรฐาน  เช่น  การลดขอบเอกสารด้านซ้ายจาก 3.175 ซม. เป็น 2.5  ซม. และขอบขวาจาก  3.175 ซม. เป็น 1.25  ซม.สามารถใช้พื้นที่กระดาษเพิ่มได้มากขึ้นถึง  27%
-          ลองลดปริมาณน้ำในถังชักโครก  ด้วยการใส่ก้อนอิฐหรือขวดน้ำไปแทนที่น้ำ
-          ปิดน้ำเสมอเมื่อเลิกใช้งาน  ร่วมกันสอดส่องไม่ให้น้ำเปิดไหลทิ้งก่อนจะออกจากห้องน้ำ
-          รินน้ำดื่มให้พอดี  และดื่มให้หมดทุกครั้ง  หากดื่มน้ำเหลือนำมาใช้รดน้ำต้นไม้  หรือรวบรวมเพื่อทำความสะอาดสิ่งต่างๆ
-          ใช้แก้วน้ำตอนแปรงฟันและล้างหน้า  เนื่องจากการแปรงฟันโดยใช้น้ำจากแก้ว…จะใช้น้ำเพียง 0.5 – 1 ลิตร  แต่หากปล่อยน้ำไหลออกจากก๊อกตลอดเวลาจะใช้น้ำถึง 20-30  ลิตร
-          เลือกใช้ฝักบัวอาบน้ำและปิดน้ำในขณะที่ถูสบู่…จะใช้น้ำเพียง 30  ลิตร หากไม่ปิดอาจใช้ถึง 90  ลิตร แต่ถ้าใช้อ่างอาบน้ำต้องใช้น้ำถึง  110 – 200 ลิตร  เลยทีเดียว
-          ล้างผักและผลไม้ในอ่างหรือภาชนะที่มีการกักเก็บน้ำเพียงพอดีกว่าล้างโดยตรงจากก๊อก ประหยัดน้ำได้มากกว่า 50%
-          ทานอาหารให้เต็มอิ่ม  แต่อย่าเหลือทิ้ง…อย่าเหลือขว้าง  เพราะกว่าจะเป็นอาหาร  ต้องใช้พลังงานในการผลิตนะครับ
-          สนับสนุนการซื้อสินค้าในท้องถิ่นช่วยลดเชื้อเพลงในการขนส่งและช่วยพ่อค้าแม่ค้า  แถวบ้านให้มีงานทำ

image0034 การจัดการขยะ : การจัดการขยะด้วยแนวคิด 7R
3)      Reuse  ( ใช้ซ้ำ )

เป็นการนำกลับมาใช้ใหม่ หรือใช้อีกครั้ง หรือหลายๆครั้ง เช่น

-          แยกประเภทกระดาษที่ใช้แล้วเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่อย่างเหมาะสมกระดาษดีนำมาใช้ พิมพ์ใหม่เป็นกระดาษ 2 หน้าสำหรับเอกสารร่าง  กระดาษยับนำมาตัดเป็นกระดาษโน้ต  กระดาษ 2 หน้าทำเป็นถุงใส่ของ
-          บริจาคสิ่งของที่เลิกใช้แล้วแต่มีสภาพดีให้กับผู้ที่ขาดแคลน
-          ประกวดนวัตกรรมนำขยะกลับมาใช้ซ้ำ  เช่น  การนำกระดาษมาเป็นซองใส่ยา ฯลฯ
-          ใช้ถุงพลาสติกซ้ำหลายๆครั้งตามสภาพความเหมาะสม

image0062 การจัดการขยะ : การจัดการขยะด้วยแนวคิด 7R

4)      Recycle  ( นำกลับมาใช้ใหม่ )

เป็นการนำวัสดุที่หมดที่หมดสภาพแล้วหรือที่ใช้แล้วมาแปรสภาพด้วยกระบวนการต่าง ๆ เพื่อนำกลับมาใช้หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่  เช่น

-          คิดก่อนทิ้งว่าขยะ…ช่วยกันแยกประเภทขยะเพื่อให้ได้ขยะรีไซเคิลมากที่สุดและ เพื่อช่วยลดขั้นตอนและลดพลังงานในการกำจัดขยะ  เนื่องจากขยะแต่ละชนิดมีวิธีการกำจัดที่ไม่เหมือนกัน
-          สร้างธนาคารขยะที่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน  เพื่อการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
-          คัดแยกขยะประเภทกระดาษ  แก้ว โลหะ…เพื่อการนำกลับไปรีไซเคิลได้ไม่รู้จบ
-          คัดแยกขยะประเภทกล่องนม…เพื่อบริจาคนำไปผลิตแผ่นกรีนบอร์ด


image0074 การจัดการขยะ : การจัดการขยะด้วยแนวคิด 7R
5)      Repair  ( ซ่อมแซม )

เป็นการซ่อมแซมให้ใช้การได้ใหม่  เช่น

-          กระป๋องพลาสติก  ที่แตกร้าวหรือเป็นรูใช้กาวประสานหรืออุดรูเหล่านั้นมันก็ยังใช้ได้เหมือน เดิม  ทำให้อายุการใช้งานนานขึ้น การกลายเป็นขยะก็ยืดเวลาออกไป

image0116 การจัดการขยะ : การจัดการขยะด้วยแนวคิด 7R

6)      Reject  ( ปฏิเสธ )

เป็นการปฏิเสธการใช้ทรัพยากรแบบครั้งเดียวทิ้งหรือหารนำเข้าจากแดนไกล  หรือการปฏิเสธใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำลายโลก  เช่น พลาสติก  กล่องโฟมบรรจุอาหาร


image0111 การจัดการขยะ : การจัดการขยะด้วยแนวคิด 7R
7) Return ( ตอบแทน )



เป็นการตอบแทนสิ่งที่พวกเราได้ทำลายไปคืนสู่โลก เช่น

- ปลูกต้นไม้กันเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวคืนแก่โลก ช่วยโลกสดใส ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดปัญหาโลกร้อน


แหล่งข้อมูลอ้างอิง  : ปรับปรุงจาก
แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2550-2554 http://www2.onep.go.th/eqmp_mornitor/downloads/EQMPlan.pdf
< >

20 วิธีง่ายๆ ช่วยให้โลกน่าอยู่ไปอีกนาน



1. ปิดสวิตซ์ให้หมด
โหมดสแตนบายของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด
เขมือบไฟฟ้าตลอดเวลา
และอาจทำให้ค่าไฟฟ้าของแต่ละบ้านสูงขึ้นอีกปีละ 4,000 บาทโดยไม่จำเป็น 


2. ถอดปลั๊กให้เกลี้ยง
แม้จะกดปุ่มปิดการทำงาน
แต่ถ้าเสียบปลั๊กค้างไว้
กระแสไฟฟ้าก็ยังเข้าไปวิ่งเล่นได้
จะให้ดี...ต้องถอดปลั๊กเมื่อเลิกใช้งาน... 


3. เปลี่ยนหลอดไฟ
อินเทรนด์สุดๆ ในยุคนี้
ต้องยกให้ หลอด"LED"
ในความสว่างที่เท่ากัน มันกินไฟน้อยกว่าหลอดไส้ 15 เท่า 


4. ปิดทีวีบ้างก็ได้
กดรีโมตทุกช่อง แต่ไม่เจอรายการถูกใจ
ก็ปิดทีวีไปเลย แล้วย้ายจากหน้าจอเหลี่ยม
ไปทำกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ
อย่างน้อยก็พูดคุยกับสมาชิกในบ้านให้มากขึ้น 


5. ลด-ละการอาบน้ำอุ่น
บ้านเราก็เมืองร้อน ทำไมอาบน้ำอุ่นนะ
ลด-ละ การอาบน้ำที่ต้องใช้ไฟฟ้ากันไหม
เก็บน้ำอุ่นไว้อาบตอนหนาวจริง หรือไม่สบาย หรือยามเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากันดีกว่าเรา

6. สร้างบ้านพึ่งพาธรรมชาติ
การสร้างบ้านขนาดกะทัดรัด
ในตำแหน่งสอดคล้องกับทิศทางของสายลมและแสงแดด
แถมพ่วงด้วยการปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ช่วยประหยัดพลังงานได้อีกโข


7. กินชะลอโลกร้อน
เลือกอาหารที่ผลิตภายในประเทศ
ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ เน้นอาหารที่ได้จากพืช
กินผักผลไม้ตามฤดูกาล และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากระบบเกษตรอินทรีย์ 


8. ปลูกผักสวนครัว
บ้านไหนไม่มีรั้ว
หย่อนเมล็ดลงกระถางก็ได้
ปลูกเอง กินเองสบายใจ เพราะไม่ใช้สารเคมี 


9. รู้ทัน fast clothes
เสื้อผ้าราคาถูกที่เร่งตัด เร่งเย็บ เร่งขาย
ใส่แล้วเร่งพัง โยนทิ้งง่าย จะได้เร่งการซื้อครั้งใหม่
เป็นลูกไม้ตื้นๆ ที่ล่อให้ใช้ทรัพยากรอย่างทิ้งขว้าง และล้างผลาญพลังงานโดยไม่จำเป็น 

10. ยืดอายุเสื้อผ้า
รู้จักเลือก รู้จักซ่อมแซม
และมิกซ์แอนด์แมตช์ลดความจำเจ
ยิ่งใส่นาน ยิ่งใช้งานคุ้มค่า
ก็ยิ่งประหยัดทรัพยากรในการผลิตเสื้อผ้าชุดใหม่ 

11. พกสติไปชอปปิ้ง
ซื้อมาก จ่ายมาก แล้วจะสุขมากจริงหรือ
ปิ๊งสินค้าชิ้นไหน
คิดให้ถ้วนถี่ก่อนตัดสินใจควักตังค์
จำเป็นหรือเปล่า คุณภาพดีไหม
อ้อ...อย่าลืมปฏิเสธถุงพลาสติกนะ 


12. คิดก่อนทิ้งลงถัง
เศษอาหารผสมกับน้ำหมักชีวภาพ ได้เป็นปุ๋ยบำรุงดิน
ชิ้นส่วนอะลูมิเนียม ส่งให้มูลนิธิขาเทียม โทร. 0-2226-5666 ต่อ 2600
กล่องนม กล่องน้ำผลไม้ ส่งให้โครงการแยกกล่องลดขยะ โทร. 0-2752-7697 


13. แยกขยะส่งซาเล้ง
ลุงป้าซาเล้งคือมือปราบภูเขาขยะ
ที่จะพาพลาสติก กระดาษ โลหะ ขวดแก้ว
เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล
ลดภาระในการกำจัดขยะ และลดการใช้วัตถุดิบสำหรับการผลิตครั้งต่อไป 


14. บินแบบพอเพียง
ทะยานขึ้นฟ้าแต่ละครั้ง
เครื่องบินซดน้ำมันมหาศาล
แถมยังพ่น CO2 สู่ท้องฟ้า
หากเดินทางใกล้ๆ ภายในประเทศ เก็บเครื่องบินไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายดีกว่า 


15. ทิ้งรถไว้ที่บ้าน
ถ้าขับรถส่วนตัวออกจากบ้าน
แต่ต้องจอดสนิทติดแหง็กเพราะการจราจร
เปลี่ยนมาขึ้นรถไฟฟ้า ลงเรือด่วนเจ้าพระยา
นั่งแท็กซี่ หรือซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้างบ้างก็ได้ สะดวกและทันใจกว่าเยอะ 


16. พึ่งลำแข้งตัวเอง
หากต้องเดินทางในระยะใกล้ๆ
ควรออกแรงเดินหรือปั่นจักรยาน
ให้ขาได้ทำงานมากกว่าการเหยียบคันเร่ง ประหยัดทั้งค่าน้ำมันและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 


17. ขี้เกียจเดินทางกันหน่อย
ถ้าทำได้...ก็เลือกเรียนหรือทำงานใกล้ๆ บ้าน
ธุระบางอย่างไม่ต้องไปด้วยตัวเอง
ให้อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ โทรสารทำงานแทนก็ได้
เดินทางน้อยลง ช่วยลดรายจ่ายและรอยตีนฝากโลกไปพร้อมๆ กัน 


18. ปลูกต้นไม้ใช้หนี้
เมื่อเบิกถอนเชื้อเพลิงฟอสซิลมาใช้มากเกินไป
ก็ควรชดใช้ด้วยการปลูกต้นไม้
แค่สิบต้นไม่พอหรอก ปลูกให้เป็นร้อย...ลองสักตั้งไหม


19. แบ่งปันเพื่อนร่วมสังคม
ชุดนักเรียนสภาพดี ส่งต่อให้มูลนิธิกระจกเงา โทร. 0-5373-7616
จักรยานเก่าสภาพดี ส่งต่อให้ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพฯ โทร.0-2618-4434
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช้งาน ส่งต่อให้มูลนิธิวิสุทธิคุณ โทร. 0-2941-5588-90
เสื้อผ้าสภาพดีที่เบื่อจะใส่ ส่งต่อให้มูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท โทร. 0-2416-8073-4
อุปกรณ์สำหรับเด็กพิการ ส่งต่อให้สถานสงเคราะห์เด็กพิการปากเกร็ด โทร. 0-2583-8396 ต่อ 110 


20. ลงมือทำและบอกต่อ
ข้อสุดท้ายนี่แหละสำคัญที่สุด
ทุกวิธีที่ว่ามา ไม่ยากเกินลงมือทำ
แค่ลด-ละความสะดวกสบายกันคนละนิด
เมื่อรวมกันทั้งประเทศก็ช่วยให้โลกร้อนช้าลงได้อีกหน่อย แล้วอย่าลืมบอกต่อคนใกล้ตัวด้วยนะ



สืบค้นและเรียบเรียงจาก
http://www.greenworld.or.th/greenworld/local/2399
< >