ขับเคลื่อนโดย Blogger.

มาทำแนวกั้นผักตบชวากันเถอะๆ

     
      พวกเรา
ได้ไปเก็บผักตบชวา ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำเน่าเสียรวมไปถึงทำแนวกั้นไม่ให้ผักตบชวาเข้ามาในชายฝั่งบริเวณนี้อีกด้วย แล้วผักตบชวาที่เราเก็บขึ้นมาเราก็สามารถนำไปทำอะไรได้หลายอย่างมาก











            







   






   อาทิเช่น การนำไปผสมกับอาหารสัตว์เพื่อลดรายจ่ายในการซื้ออาหาร หรือไม่ว่าจะเป็นการทำรองเท้า กระเป๋า และอะไรอีกหลายอย่างด้วยผักตบชวาข้อมูลเหล่านี้อาจจะหาดูได้ง่ายตาอินเตอร์เน็ตและเราหวังว่าคลิปวิดีโอนี้จะทำให้คนที่เข้ามาชมเกิดแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรในธรรมชาติให้ยั่งยืนสืบต่อไป 
นะครับ/ค่ะ




















< >

สืบ นาคะเสถียรนักอนุรักษ์ป่าผู้ยิ่งใหญ่

ชีวประวัติ สืบ นาคะเสถียร
๑๙ ปี แห่งการจากไป ของนักอนุรักษ์ป่าผู้ยิ่งใหญ่


   คุณสืบ นาคะเสถียร หรือนามเดิม สืบยศ เป็นชาวอำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ ที่ตำบลท่างาม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี บิดาชื่อ นายสลับ นาคะเสถียร อดีต ผู้ว่าราชการ จังหวัดปราจีนบุรี มารดาชื่อ นางบุญเยี่ยม นาคะเสถียร มีพี่น้อง ทั้งหมด ๓ คน โดยคุณสืบ เป็นบุตรชายคนโต น้องชาย และน้องสาวอีก ๒ คน คือ คุณกอบกิจ นาคะเสถียร และคุณกัลยา รักษาสิริกุล คุณสืบมีบุตรสาว ๑ คน ชื่อนางสาวชินรัตน์ นาคะเสถียร ปัจจุบันอายุ ๒๔ ปี (พ.ศ.๒๕๔๔)

ชีวิตและการทำงาน โดยที่สายตระกูลของคุณสืบ นาคะเสถียร เป็นครอบครัวของชาวนา ชีวิตในช่วงปฐมวัยจึงต้องช่วยทำงานในนาของมารดา เมื่อว่างจากภาระดังกล่าวก็ออกท่องเที่ยวกับเพื่อน ๆ โดยมีไม้ง่ามหนังสะติ๊กคู่ใจ
ได้เข้าเรียนชั้นประถมต้นที่โรงเรียนประจำจังหวัดปราจีนบุรี ช่วงปิดเทอมว่างจากการเรียน ก็จะออกไปช่วยทางบ้านเสริมแนวคันนา เพื่อไม่ให้มีข้อพิพาทกับเพื่อนบ้าน ทำงานกลางแจ้งทั้งวัน แม้แดดจะร้อนก็มิเคยปริปากบ่น ครั้นเรียนจบชั้นประถม ๔ ต้องจากครอบครัวไปเรียนที่โรงเรียนเซนต์หลุยส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา จนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ในสมัยนั้น คุณสืบ มีบุคลิกประจำตัวคือ เมื่อสนใจหรือตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็จะมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำจริงจัง จนประสบความสำเร็จ และเป็นผู้ที่มีผลการเรียนดีมาโดยตลอด


๒๕๑๑-๒๕๑๔ เข้าศึกษาในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความตั้งใจการศึกษาอย่างเต็ม ประสิทธิภาพ และเข้าร่วมกิจกรรมของนิสิตในมหาวิทยาลัย โดยเป็นที่ทราบกันดีระหว่าง หมู่เพื่อนผู้ใกล้ชิดว่า คุณสืบ เป็นผู้มีจิตใจรักงานศิลปะ สูงส่งในเชิงมนุษยสัมพันธ์ มีระเบียบ ในการดำเนินชีวิตในสมัยเรียนอย่างเป็นแบบแผน


๒๕๑๖ เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ได้เข้าทำงานที่กองสวนสาธารณะของการเคหะแห่งชาติ ๒๕๑๗ เข้าศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาวนวัฒน์วิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษา

๒๕๑๘ บรรจุเข้ารับราชการ ตำแหน่ง พนักงานป่าไม้ตรี กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว - เขาชมภู่ จังหวัดชลบุรี ปราบปรามป่าอย่างมีประสิทธิภาพ

๒๕๒๒ ได้รับทุนจาก British Council ไปเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในสาขาวิชาอนุรักษ์วิทยา
๒๕๒๔ เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบางพระ มีส่วนร่วมในการจัดการและประสานงาน รวมทั้งเป็นวิทยากรฝึกอบรมพนักงานพิทักษ์ป่าอีกหลายรุ่น 

๒๕๒๖ กลับเข้าปฏิบัติราชการประจำ ฝ่ายวิชาการ กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ๒๕๒๙ ปฏิบัติงานในหน้าที่หัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าตกค้างในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อน รัชชประภา(เชี่ยวหลาน) จังหวัดสุราษฎร์ธานี 

๒๕๓๐ ปฏิบัติงานในโครงการศึกษาผลกระทบสภาพแวดล้อม เพื่อพัฒนาพื้นที่ ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส ต่อมาได้รับคำสั่งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกตำแหน่งหนึ่ง เป็นอาจารย์พิเศษ ประจำภาควิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดเตรียมเอกสารข้อมูลทางด้านบทความและภาพถ่าย ทุ่มเทพลังกาย พลังใจ เพื่อคัดค้าน การสร้างเขื่อนน้ำโจนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและการบุกรุกทำลาย ทรัพยากร ธรรมชาติทุกรูปแบบ 

๒๕๓๑ กลับมาปฏิบัติราชการที่ กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ๒๕๓๒ เข้ารับตำแหน่ง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี 

๒๕๓๓ จัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาป่าห้วยขาแข้ง และทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นวิทยากรบรรยาย และร่วมอภิปรายในโอกาส และสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง ส่วนมากเป็นหัวข้อเรื่อง การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและปัญหาที่เกี่ยวข้อง การอพยพสัตว์ป่าตกค้างในเขื่อนเชี่ยวหลาน เป็นต้น เขียนเอกสาร โครงงานเพื่อจัดการให้พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เป็นพื้นที่มรดกทางธรรมชาติของโลก 
๑ กันยายน ๒๕๓๓ ชำระสะสางภาระหน้าที่รับผิดชอบ และทรัพย์สินส่วนตัวที่คั่งค้าง มอบหมายเครื่องใช้ และ อุปกรณ์ในการศึกษาวิจัยด้านสัตว์ป่า ให้สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว เช้าตรู่เริ่มต้นตำนานแห่งนักอนุรักษ์ สืบ นาคะเสถียร นักอนุรักษ์ไทย ผู้ที่รักป่าไม้และธรรมชาติด้วยกาย วาจา และใจ


แนวความคิดเรื่องการอนุรักษ์สัตว์ป่า แนวความคิดเรื่องการรักษาป่า ความคิดและอุดมการณ์
แนวความคิดเรื่องการอนุรักษ์และการพัฒนา
·         แต่อย่างไรก็ตามการอนุรักษ์ทรัพยากรอย่างใดอย่างหนึ่ง มิได้หมายถึงการเก็บรักษาโดยไม่นำมาใช้ประโยชน์ แต่เป็นการใช้อย่างถูกต้องโดยวิธีที่จะใช้ทรัพยากรที่เหลือ อยู่ดังกล่าว สามารถอำนวยประโยชน์ไม่เฉพาะทางใดทางหนึ่ง แต่สามารถอำนวยประโยชน์ให้ในทุก ๆ ด้าน และยังคงมีเหลืออยู่มากพอที่จะเป็นทุนให้เกิดการพอกพูนขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้อีก และยั่งยืนต่อไปในอนาคต ดังนั้น ผลที่จะเกิดขึ้นจากการอนุรักษ์ มิได้เป็นประโยชน์เฉพาะคนที่อยู่ในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังคงสามารถอำนวยประโยชน์ต่อไปชั่วลูกชั่วหลานต่างหาก
หนังสือเสียงเพรียกจากพงไพร.ธันวาคม ๒๕๓๓ 
·         ผมอยากเห็นว่า เราควรจะเปลี่ยนแนวทางที่จะพัฒนา ในความเห็นส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการพัฒนาโดยใช้ทรัพยากรที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้ ผมไม่เห็นด้วยที่มัวพูดกันว่า เราจะใช้ทรัพยากรอย่างไรเพื่อการพัฒนาประเทศ แต่เราควรจะหันมาสนใจว่า เราจะรักษาสภาวะแวดล้อมหรือทรัพยากรที่เหลืออยู่จำกัดได้อย่างไร เราต้องประหยัดการใช้ใช่ไหม เราจะต้องหามาตรการควบคุมในทางปฏิบัติให้ได้
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๕ ,กรกฎาคม ๒๕๓๓ 
·         จะเป็นไปได้ไหมที่รัฐบาลจะเปิดใจกว้าง โดยการให้ทุกฝ่าย ทั้งประชาชน ผู้นำในท้องถิ่น ผู้แทนราษฎร นักวิชาการที่เกี่ยวข้อง มาพูดคุยร่วมกัน คือบางคนอาจจะต้องรับสถานภาพของบางกลุ่ม ข้าราชการอาจต้องยอมรับสถานภาพของประชาชน คือ ลดตัวลง ในขณะเดียวกันก็เพิ่มฐานะของเขาให้ขึ้นมามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาร่วมกัน แทนที่จะพูดกันคนละที
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๙ ,กรกฎาคม ๒๕๓๓ 
·         ผมคิดว่ามันหมดยุคแล้ว มันควรจะมาถึงยุคที่ทุกคนมีความเสมอภาคในการแสดงความคิดเห็น ช่วยกันแก้ปัญหา เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมมันไม่ได้เกิดขึ้นกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๙, กรกฎาคม ๒๕๓๓



·         ผมว่าประเทศไทยถ้าสามารถเก็บป่าธรรมชาติเอาไว้ได้ประมาณร้อยละ ๒๐ แล้วเราใช้อย่างถูกต้อง หมายถึง เก็บเอาไว้เพื่อให้มันอำนวยประโยชน์ในแง่ของการควบคุมสภาวะแวดล้อมอะไรต่าง ๆ เป็นแหล่งผลิตของธาตุอาหาร หรือความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นที่ลุ่มน้ำตอนล่าง ถ้าเราใช้ป่าทั้งหมดที่เป็นแหล่งกำเนิดของความอุดมสมบูรณ์ไปแล้ว เราจะไปหาความอุดมสมบูรณ์ได้ที่ไหน
สารคดี ฉบับ ๖๘ หน้า ๑๐๕,ตุลาคม ๒๕๓๓ 
·         สิ่งที่ผมมักพูดอยู่เสมอก็คือ ป่าเราเก็บไว้เฉย ๆ ก็เป็นการอนุรักษ์ที่เราได้ประโยชน์ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องตัดมาใช้ ต้นไม้ให้อากาศ ให้น้ำ...นี่เป็นการใช้ใช่ไหม ใช้โดยที่เราไม่ต้องไปตัดเอาส่วนของมันมาใช้
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๓, กรกฎาคม ๒๕๓๓ 
·         ในความรู้สึกของผม เราไม่ต้องมานั่งเถียงกันหรอกว่า เราจะใช้ป่าไม้อย่างไร เพราะมันเหลือน้อยมากจนไม่ควรใช้ จึงควรจะรักษาส่วนนี้เอาไว้ เพื่อให้เราได้ประโยชน์ที่เป็นประโยชน์ทางอ้อม...มันจะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า การอนุรักษ์ การใช้ประโยชน์ จะต้องมองว่ามีการใช้ทั้งทางตรงทางอ้อม ป่าที่เก็บไว้ในรูปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติควรจะใช้ประโยชน์ในทางอ้อม
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๔,กรกฎาคม ๒๕๓๓ 
·         ถ้าเผื่อเรามีทรัพยากรที่เป็นลุ่มน้ำอยู่มาก แล้วเรารักษาป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ได้บางส่วน ใช้ไปบางส่วน เหมือนสมัยที่เรามีป่ามาก เราอาจจะสร้างเขื่อนได้บางแห่ง แต่ในปัจจุบัน ลักษณะของพื้นที่ที่เป็นลุ่มน้ำที่เหมาะจะสร้างเขื่อนให้ได้ปริมาณน้ำมาก ๆ เอามาผลิตกระแสไฟฟ้ามันเหลือน้อย และการที่เราสร้างเขื่อนไปก่อน แล้วค่อยตามแก้ไขผลกระทบทีหลัง ผมคิดว่ามันไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ ในทางปฏิบัติ...เดี๋ยวนี้เขื่อนเริ่มจะเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์แล้ว เพราะว่าป่าข้างนอกหมดแล้ว อย่างที่เขาใหญ่ก็เริ่มจะพูดถึงการสร้างเขื่อนในพื้นที่อนุรักษ์ หากว่าการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ายังทำได้อีกต่อไป ผมคิดว่าป่าอนุรักษ์ในอนาคตคงไม่มีความหมายอะไร เหลือแต่ชื่อเอาไว้ว่า เคยเป็นป่าอนุรักษ์มาก่อน
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๖,กรกฎาคม ๒๕๓๓ 
·         ถึงแม้จะมี พ.ร.บ.ป่าไม้ แต่ป่าไม้เมืองไทยก็ยังลดลงตลอดเวลา นโยบายป่าไม้แห่งชาติ จึงออกมาเพื่อควบคุม พ.ร.บ.ป่าไม้อีกที โดยเขาแบ่งป่าออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ ป่าอนุรักษ์กับป่าเศรษฐกิจ โดยให้ป่าเศรษฐกิจ ๒๕% กับป่าอนุรักษ์ ๑๕% ซึ่งจะทำให้พื้นที่ป่าไม้ของประเทศทั้งหมด ๔๐% ซึ่งมองแล้วมันดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันจะเพิ่มในแง่ของป่าเศรษฐกิจ พวกยูคาลิปตัส ซึ่งไม่ได้เน้นในเรื่องของระบบนิเวศวิทยา การที่เราปลูกไม้โตเร็ว ๒-๓ ชนิด แล้วไปตัดไม้ในป่าธรรมชาติ ผมคิดว่ามันไม่มีทางรักษาป่า หรือทำให้เป็นป่าธรรมชาติได้อีก สำหรับป่าธรรมชาติตอนนี้เหลืออยู่เพียง ๑๙% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นป่าอนุรักษ์ต้นน้ำ ลำธาร อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ประมาณ ๙% ส่วนอีกไม่ถึง ๑๐% เป็นป่าสงวนที่อยู่รอบ ๆ ป่าอนุรักษ์ ตัวนี้แหละที่ถูกราษฎรบุกรุกอยู่ทุกวันโดยอ้างว่าไม่มีที่ดินทำกินและมีการซื้อขายอย่างผิดกฏหมาย โดยพวกนายทุนที่อยู่ในเมืองหรือมีอิทธิพล หนทางแก้ไข มันต้องหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งอันนี้ต้องมีการประสานกันทุกฝ่าย หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ต้องรับรู้นโยบายกันบ้าง แล้วก็ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่า ถ้าเขาขายที่ดินอันนี้ไปแล้ว เขาไม่มีทางไปอีกนั่นแหละจึงจะสามารถหยุดปัญหานี้ได้
พีเพิล ฉบับ ๒๑ หน้า ๖๑,สิงหาคม ๒๕๓๓ 
·         ถึงแม้จะหยุดป่าสัมปทานแล้วก็ตาม แต่ราษฎรที่บุกรุกอยู่ในเขตป่าสงวนตอนนี้ ล้านกว่าครอบครัว ป่าไม้ที่ไหนจะเหลือ นอกจากความจริงใจของรัฐบาล เค้าบอกว่าจะต้องรักษาป่าให้ได้โดยการจำแนกพื้นที่ออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และบอกเลยว่าป่าสงวนตรงนี้ห้าม ห้ามมีกรรมสิทธิ์ ห้ามเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ตอนนี้ป่าหมดเพราะอะไรรู้ไหม เพราะป่าสงวนหมดสภาพ สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นป่ายูคาลิปตัสได้ ผมไม่อยากจะเรียกป่า เพราะมันไม่ใช่ป่า
อิมเมจ ฉบับ ๓ หน้า ๓๒,มีนาคม ๒๕๓๓



·         การอนุรักษ์สัตว์ป่าในประเทศไทย จะสามารถประสบผลสำเร็จได้ต้องอาศัยความเข้าใจ และความจริงใจต่อการอนุรักษ์ป่าธรรมชาติที่ยังเหลืออยู่ประมาณร้อยละ ๒๐ ของพื้นที่ทั้งประเทศ ไม่เช่นนั้นแล้วจำนวนชนิดของสัตว์ป่าที่หายากและกำลังจะสูญพันธุ์เหล่านี้ก็จะต้องสูญไป พร้อมกับการบุกรุกทำลายป่า ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาที่ต้องตัดป่า ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าออกและรวมถึงการยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าเพื่อกิจการอื่น ๆ
เอกสารประกอบการสัมมนาสิ่งแวดล้อม ๓๓ หน้า ๔๒ 
·         ปัญหาของการอนุรักษ์สัตว์ป่าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ช่องว่างของกฏหมายที่อนุญาตให้บุคคลมีสัตว์ป่าไว้ครอบครองโดยไม่ต้องขออนุญาต สิ่งนี้เป็นช่องทางให้การล่าสัตว์ มันเหมือนกฎหมายสัตว์ป่าที่คุณบอกว่า คุณสามารถที่จะมีเก้ง มีกวาง มีเสือ มีหมาไน หมาจิ้งจอก เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พวกนี้มีไว้ในครอบครองได้ ถ้าไม่เกินปริมาณที่กำหนด ทำไมในเมื่อเราคุ้มครองแล้ว ทำไมเราไม่คุ้มครองมันทุกตัว แก้กฎหมายสิ
อิมเมจ ฉบับที่ ๓ หน้า ๓๑,มีนาคม ๒๕๓๓ 
·         สัตว์ป่าที่ถูกเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ๆ ถ้าสามารถรอดชีวิตมาได้จนโต จะคุ้นเคยกับคน จนไม่สามารถปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปในป่าได้ตามลำพังอีก... และส่วนมากลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่อยู่ในกรง ก็มักจะไม่แข็งแรง และเมื่อมันโตขึ้นก็จะเกิดการผสมกันเองในครอบครัวเดียวกัน... เรากำลังพูดกันมากว่าจะอนุรักษ์กันอย่างไร แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าการรักษาชีวิตสัตว์ให้รอดอยู่ แตกต่างอย่างมากมายกับการอนุรักษ์พันธุ์ของสัตว์ป่าชนิดนั้น ๆ
เอกสารประกอบการสัมมนาสิ่งแวดล้อม ๓๓ หน้า ๔๓-๔๔ 
·         พวกที่ชอบล่าสัตว์ป่าและพวกชอบกินเนื้อสัตว์ป่า ผมขอเถอะ พวกที่ชอบซื้อสัตว์ป่ามาเลี้ยงก็เช่นกัน ธรรมชาติเขาเลี้ยงได้ดีกว่าอยู่แล้ว
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๑๐๐,กรกฎาคม ๒๕๓๓ 
·         ในแง่ของการอนุรักษ์ คือการที่เราจะช่วยเหลือไม่ให้มันสูญพันธุ์ การทำให้มันมีประชากรเพิ่มขึ้น จะเป็นในกรงเลี้ยงหรืออะไรก็ตาม ถ้าเราไม่สามารถปล่อยมันคืนไปในป่าธรรมดา ให้มันปรับตัวแลัวเพิ่มประชากรโดยตัวของมันเองได้ นั่นไม่ถือว่าเป็นการอนุรักษ์ แล้วพันธุ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีวิวัฒนาการ ปรับตัวให้อยู่ได้ในสภาพธรรมชาติ แต่ถ้าเราเอามันออกมาทำให้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น แต่พันธุ์ไม่ได้รับการพัฒนา สัตว์ที่ถูกจำกัดให้อยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ มันก็จะผสมพันธุ์กันเอง ซึ่งจะทำให้เกิดลักษณะด้อยเพิ่มขึ้น
สารคดี ฉบับ ๖๘ หน้า ๑๐๕,ตุลาคม ๒๕๓๓  


ขอขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
www.seub.or.th 



< >

เขตคุ้มครองช่วยระบบนิเวศทางทะเล

มหาสมุทรเป็นของทุกคน คำกล่าวที่ว่า “One planet, One Ocean” อาจเป็นแนวคิดที่ฟังเป็นอุดมคติของนักอนุรักษ์ แต่ทฤษฎีของนักธรณีวิทยาได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าก่อนที่เปลือกโลกจะแยกออกจากันนั้น มหาสมุทรของโลกเชื่อมเป็นผืนเดียวกัน
มหาสมุทร เป็นผืนน้ำทะเลขนาดใหญ่เชื่อมต่อกัน และครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3 ใน 4 หรือร้อยละ 71 ของพื้นผิวโลก แบ่งออกเป็น 4 มหาสมุทรโดยใช้ทวีปและกลุ่มเกาะขนาดใหญ่เป็นแนวแบ่ง ดังนี้ มหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 361 ล้านตารางกิโลเมตร ปริมาตร 1,370 ล้านลูกบาศก์กิโลเมตร มีความลึกเฉลี่ย 3,790 เมตร
ตัวเลขดังกล่าวอาจทำให้เราจินตนาการถึงผืนน้ำขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด แต่ท่ามกลางความกว้างใหญ่ของมหาสมุทรนี้ เราอาจไม่รู้ว่ามหาสมุทรกำลังถูกคุกคามในรูปแบบต่างๆ ที่กำลังเร่งให้มหาสมุทรมีความเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบทิ้งขยะอุตสาหกรรม การทำประมงเกินขนาด (Over fishing) และการใช้เครื่องมือประมงแบบทำลายล้าง ซึ่งการใช้เครื่องมือเหล่านี้ทำให้สัตว์ทะเลหลายชนิดกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ ซึ่งชนิดพันธุ์ที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้ คือ ฉลาม ผู้ล่าของท้องทะเล โดยข้อมูลปี พ.ศ. 2556 องค์กรที่มีการรณรงค์หยุดบริโภคฉลามที่สำคัญในประเทศไทย เช่น องค์กร Fin-Free Thailand ให้ข้อมูลว่าฉลามถูกฆ่าประมาณ 100 ล้านตัวต่อปี โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เช่น ติดมากับอวนของชาวประมงซึ่งส่วนใหญ่เป็นอวนแบบผิดกฏหมาย ขณะนี้จำนวนฉลามและสัตว์น้ำอื่นๆ มีแนวโน้มลดลงอย่างน่าตกใจ อาจถึงเวลาที่เราต้องตั้งคำถามว่า เราควรหันมาปกป้องฉลามและสัตว์ทะเลต่างๆ แล้วหรือยัง
ย้อนกลับมาดูสถานการณ์ทะเลไทยกันบ้างข้อมูลจากสถิติการทำประมงที่กรมประมงศึกษาวิจัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ที่มีการนำอวนลากเข้ามาใช้ในประเทศไทยโดยเรืออวนลาก คือเรือที่ใช้อวนขนาดใหญ่ตาถี่ โดยมีแผ่นโลหะและยางขนาดใหญ่ที่จะเคลื่อนกวาดหน้าดินใต้ทะเลพร้อมกับอวนที่ถี่มากพบว่า อัตราการจับสัตว์น้ำของอวนลาก อยู่ที่ชั่วโมงละ 297.6 ก.ก. ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการจับสัตว์น้ำจากอ่าวไทยพุ่งขึ้นมากหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับผลจับก่อนหน้านี้ แต่แล้วกลับเริ่มลดลงเมื่อเวลาผ่านไป โดยในปี พ.ศ. 2525 อัตราการจับเหลือชั่วโมงละ 49.2 ก.ก. และเหลือเพียงชั่วโมงละ 22.78 ก.ก. ในปี พ.ศ. 2534 และเป็นที่น่าตกใจ ที่พบว่า ในปี พ.ศ. 2549 อัตราการจับสัตว์น้ำเฉลี่ยของอ่าวไทยตอนบนเหลืออยู่เพียงชั่วโมงละ 14.126 ก.ก. เท่านั้น  ในขณะที่งานวิจัยเรื่ององค์ประกอบของผลผลิตอวนลากได้ พบว่าสัดส่วนของสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ต้องการมีเพียงร้อยละ 33.3 ที่เหลือเป็นปลาเป็ดร้อยละ 66.7 และร้อยละ 30.1 ของปลาเป็ดเป็นสัตว์ส่วนของสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจวัยอ่อน สัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจวัยอ่อนในทะเลไทยถูกกวาดขึ้นมาด้วยเรืออวนลากเข้าสู่โรงงานปลาป่นและป้อนให้กับธุรกิจอาหารสัตว์อย่างไม่มีใครสามารถควบคุมได้แม้แต่อำนาจรัฐ
เขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลคือคำตอบ... 
เขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล คืออาณาเขตทางทะเลที่ซึ่งสรรพสิ่งได้รับการคุ้มครองจากการคุกคามของมนุษย์ ที่ซึ่งทุกคนในโลกมีข้อตกลงร่วมกันเพื่อรักษาความสวยงามและความหลายทางชีวภาพไว้อย่างยั่งยืนให้รุ่นลูกรุ่นหลาน
ในปัจจุบันทะเลและมหาสมุทรทั่วโลกยังไม่มีเขตพื้นที่ที่ให้การคุ้มครองระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลที่มีประสิทธิภาพ โดยพื้นที่ที่มีการกำหนดและมีข้อตกลงในทางปฎิบัติที่ใกล้เคียงกันส่วนใหญ่จะมีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครองเฉพาะพืชหรือสัตว์บางชนิดพันธุ์หรือเพื่อควบคุมกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งเท่านั้น  โดยจำนวนและขนาดของพื้นที่คุ้มครองทางทะเลและชายฝั่งส่วนใหญ่จะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลพื้นที่คุ้มครองทั่วโลก(The World Database on Protected Areas: WDPA) จากข้อมูลดังกล่าวมีข้อสังเกตว่า พื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตคุ้มครองนั้นมีข้อจำกัดในบางประเด็น คือ การไม่ได้ระบุถึงพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจนของพื้นที่คุ้มครองหลายแห่ง ทำให้การศึกษาวิเคราะห์พื้นที่คุ้มครองแห่งนั้นๆ อย่างสมบูรณ์เป็นไปได้ยาก
ก่อนที่ฉลามจะหมดทะเล ก่อนที่สัตว์น้ำอันเป็นแหล่งอาหารสำคัญของโลกสูญสิ้น ก่อนที่ทะเลจะเหลือเพียงแค่ท้องน้ำอันว่างเปล่าและมลพิษ เขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลคงเป็นคำตอบสำคัญที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และจากระดับนานาชาติ ในการกู้วิกฤติมหาสมุทรและทะเลที่กำลังมีสัตว์น้ำจำนวนน้อยลงอย่างชัดเจนในปัจจุบัน
Note
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก สมาคมรักษ์ทะเลไทย
Ocean sanctuaries proposal
< >

บทเรียน 'คราบน้ำมัน' กลางทะเลระยอง อุตสาหกรรมภายใต้กระแสสีเขียว


         ปัญหาคราบน้ำมันจากกรณีข้อต่อท่อส่งน้ำมันรั่วกลางทะเล จ.ระยอง ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลต่อผลกระทบของระบบนิเวศน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ที่ผ่านมาศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม จากความร่วมมือระหว่าง สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยกับ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนงบเบื้องต้น 2 ล้านบาทให้กับสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ลงพื้นที่สำรวจ และเก็บตัวอย่าง เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม อาทิ คุณภาพน้ำทะเล ตะกอนดิน สิ่งมีชีวิตในทะเล เช่น กุ้ง หอย ปะการัง เป็นต้น เพื่อให้เป็นข้อมูลกลาง เป็นที่เชื่อถือของทุกฝ่าย สำหรับนำไปประเมินความเสียหายจริง และเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการเปรียบเทียบหากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันในอนาคต
           ดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ในฐานะคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลในทะเล ระบุว่า กรณีน้ำมันรั่วไหลกว่า 5 หมื่นลิตร ของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือพีทีทีจีซี ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ขณะนี้หลายฝ่ายควบคุมสถานการณ์และเร่งขจัดคราบน้ำมันรั่วไหลบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ดให้แล้วเสร็จ แต่ปัญหานี้ คือ ยังไม่มีข้อมูลความเสียหายของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทางวิชาการที่ทุกฝ่ายยอมรับ รวมทั้งการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันยังไม่มีการพิสูจน์ว่า จะทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและระบบนิเวศ และมีสารตกค้างในธรรมชาติจริงหรือไม่ จำเป็นต้องเก็บตัวอย่าง เพื่อสำรวจและติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ทะเลอย่างเร่งด่วน และต้องมาจากองค์กรที่เป็นกลาง เพื่อให้ทุกภาคส่วนเชื่อถือ
           "เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกสถาบันการศึกษาเข้ามาทำการวิจัย เพื่อความรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ และมีกระบวนการวิจัยที่โปร่งใส ชัดเจน ข้อมูลที่ทุกฝ่ายยอมรับ นำไปใช้ประโยชน์ทั้งการเรียกร้องความเสียหายจากผู้ได้รับผลกระทบ และใช้ในการตรวจสอบสำหรับหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบประเมินและจ่ายค่าเสียหาย ใช้เทียบเคียงกับผลของการวิเคราะห์ของภาครัฐได้"
             ขณะนี้มี 3 มหาวิทยาลัยยื่นข้อเสนอทำการสำรวจมาแล้ว ประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบูรพา เพื่อสำรวจในเรื่องสารเคมีในตะกอนดินจากการกำจัดคราบน้ำมัน และผลต่อปะการัง เป็นต้น ขณะนี้ยังรับข้อเสนออยู่ เพียงแต่มีเงื่อนไขว่า งานวิจัยดังกล่าวจะต้องสำรวจและเก็บตัวอย่างให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน
บทเรียนรับมือภาวะฉุกเฉิน
ดร.ขวัญฤดี กล่าวต่อว่า กรณีการรั่วไหลน้ำมันครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่จะทำให้ทุกภาคส่วนต้องปรับกระบวนการรับมือกับภาวะฉุกเฉินใหม่
"ต้นเหตุและปัญหาที่ขยายในวงกว้างมาจากคลื่นลมทะเล การหย่อนยานเรื่องการซักซ้อม ความชะล่าใจของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการซ้อมแผนอุบัติภัย ที่ระบุว่ามีการซักซ้อมต่อเนื่อง แต่กลับไม่สามารถเรียกมาแก้ไขปัญหาได้"
             การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเป็นอีกปัญหาของเหตุการณ์ครั้งนี้ เนื่องจากเอกชนมุ่งแต่แก้ปัญหาหน้างาน ไม่ให้ความสำคัญกับการสื่อสารในภาพรวม ประกอบกับไม่มีการตั้งศูนย์กลางเผยแพร่ข้อมูลตั้งแต่ต้น ทำให้ข่าวสารมาจากทุกทิศทาง สร้างความสับสน ส่งผลให้การโฟกัสแก้ปัญหาของสังคมไม่ถูกจุด เช่น กระแสใช้เส้นผมไปขจัดคราบน้ำมัน ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง และยังทำให้เกิดขยะ เป็นต้น
             ส่วนกรณีที่มีผลกระทบไปถึงความศรัทธาของปตท.ในภาพรวมเป็นอีกปัญหาหนึ่ง จากการที่นำเหตุการณ์หนึ่งมาตัดสินองค์กรในภาพรวมโดยไม่แยกแยะ ซึ่งสิ่งที่สังคมต้องเรียกร้องต่อปตท.คือ ให้เร่งแก้ปัญหาคราบน้ำมัน และกู้ภาพลักษณ์ของเกาะเสม็ดในฐานะผู้ทำให้เกิดความเสียหายต่อการท่องเที่ยวของเกาะ
             ส่วนปัญหาความไม่วางใจต่อกันระหว่างรัฐและเอกชน กับประชาชนนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากมาบตาพุดมีปัญหามลภาวะหลายครั้ง ดังนั้นความชัดเจนของข้อมูล และเปิดเผยต่อสาธารณะ เป็นเรื่องจำเป็นมากในกรณีแบบนี้ แต่จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบมาก่อนที่จะเกิดเหตุ ส่วนเอกชน สิ่งที่ต้องทำอย่างจริงจัง คือ การตรวจสอบและซ่อมบำรุงสม่ำเสมอ แม้ยังไม่หมดอายุการใช้งาน
             "พื้นที่ที่มีอุตสาหกรรมหนาแน่น มาตรฐานการปล่อยมวลสารต้องเข้มข้น เพราะความสามารถของธรรมชาติในการฟอกตัวต่ำกว่าพื้นที่อื่นที่มีโรงงานอุตสาหกรรมเบาบางกว่า"
             นอกจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปตรวจสอบและให้ความรู้กับอุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก หรือเอสเอ็มอี ที่กฎหมาย และรัฐควบคุมไม่ทั่วถึง เช่น โรงงานที่อยู่ตามห้องแถวต่างๆ โรงงานบัดกรีเหล็ก เป็นต้น
             ล่าสุดมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ร่วมกับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และ บริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย จำกัด ให้ความรู้ในเรื่องนี้ภายใต้งานสัมมนา "วิจัยขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงสังคม สู่การจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน" ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ 2556 เวลา 09.30- 12.30 น. ณ รร.แลนด์มาร์ค กรุงเทพฯโดยมีหัวข้อต่างๆที่น่าสนใจ อาทิ "Trends & Challenges of ASEAN Business toward AEC 2015" เป็นการแลกเปลี่ยนแนวทางที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอด และเสริมสร้างศักยภาพของภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ และ ภาคส่วนอื่นๆ รวมถึงทิศทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และกระแสสีเขียว กุญแจสำคัญต่อภาคธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต โดยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ อาทิ องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID), คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) , Asian Development Bank Institute (ADBI) เป็นต้น

แหล่งอ้างอิง
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/life/20130809/522363/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%87.html
< >

การอนุรักษ์และการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล

การอนุรักษ์และการฟื้นฟู

แนวทางการอนุรักษ์แหล่งหญ้าทะเล
ใน อดีตการจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากรปะการังและป่าชายเลน ได้รับความสนใจมาก แต่ในเรื่องของหญ้าทะเลยังได้รับความสนใจน้อย อาจเป็นเพราะนักวิจัยด้านทรัพยากรหญ้าทะเลในประเทศไทยขาดแคลน ทำให้มีข้อมูลพื้นฐานอยู่น้อย แม้จะได้มีการศึกษาเรื่องหญ้าทะเลอยู่บ้างก็ตาม ภายใต้โครงการ ASEAN-Australia: LCR ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ต่อมาโครงการ UNEP GEF Project ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นโครงการในระดับภูมิภาคทะเลเอเชียตะวันออก ดำเนินการโดยกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก เพื่อจัดทำโปรแกรมยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทาง ทะเลและชายฝั่งของภูมิภาคและสนับสนุนให้มีการประสานความร่วมมือในการแก้ไข ปัญหาร่วมกัน รวมถึงเสริมสร้างศักยภาพการจัดการแบบบูรณาการในกลุ่มประเทศประกอบด้วย ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐอินโดนีเซีย มาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ประเทศไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีประเด็นทรัพยากรหลัก ดังนี้ ป่าชายเลน ปะการัง หญ้าทะเล พื้นที่ชุ่มน้ำ มลพิษจากแผ่นดิน และประมง ในโครงการดังกล่าวได้สรุปสถานภาพของทรัพยากรต่างๆ รวมถึงปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้น และได้มีการเสนอพื้นที่สาธิตเพื่อการทดลองร่วมกันบริหารจัดการแบบบูรณาการ ในช่วงแรกของการดำเนินโครงการด้านหญ้าทะเลก็ได้มีการประชุมร่วมระหว่างหน่วย งานต่างๆ รวมถึงองค์กรเอกชน กลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ และหน่วยงานราชการ ในการให้และรวบรวมข้อมูลในระดับหนึ่ง เฉพาะพื้นที่ในอ่าวไทย เพื่อกำหนดร่างแผนการจัดการแหล่งหญ้าทะเลระดับชาติต่อไปเพื่อการใช้ประโยชน์ อย่างยั่งยืนต่อไป
อย่าง ไรก็ตามในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2534 ทางฝั่งทะเลอันดามัน โดยเฉพาะบริเวณหาดเจ้าไหม เกาะตะลิบง จังหวัดตรัง และบริเวณบ้านป่าคลอก จังหวัดภูเก็ต ได้มีการจัดทำแผนอนุรักษ์หญ้าทะเลขึ้นโดยองค์กรเอกชน กลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ และหน่วยงานราชการของจังหวัด ได้ร่วมมือกันป้องกัน ดูแล มิให้มีการทำลายหญ้าทะเลจากเครื่องมือประมง แต่การเสื่อมโทรมของหญ้าทะเลบางแห่ง มีสาเหตุที่เกิดจากตะกอนในทะเลยังไม่สามารถที่จะหามาตรการมาหยุดยั้งได้ จึงเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาหาข้อมูลเพื่อวางแผนต่อไปในอนาคต
ทั่ว โลกมีการตื่นตัวในการอนุรักษ์และจัดการแหล่งหญ้าทะเล โดยมีการจัดตั้งองค์กรอิสระ เครือข่ายระหว่างประเทศในการเฝ้าระวังติดตามผล ตรวจสอบสถานภาพของหญ้าทะเล เช่น Seagrass Net (www.seagrassnet.org) Seagrass watch (www.seagrasswatch.org) ส่วนประเทศไทยเริ่มมีการอบรมสมาชิก เรื่อง การเฝ้าระวังหญ้าทะเลโดยการจัดการของภาควิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ที่จังหวัดตรัง และในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา มหาวิทยายาลัยมหิดลและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้เป็นแกนนำในการจัดทำแผนแม่บทหญ้าทะเลแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้แผนแม่บทหญ้าทะเลฝั่งอ่าวไทยได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
โดย พื้นที่แหล่งหญ้าทะเลที่สำคัญยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่ ควรได้รับการพิจารณาให้มีการอนุรักษ์ ได้แก่ แหล่งหญ้าทะเลในจังหวัดตรังทั้งหมด แหล่งหญ้าทะเลบริเวณอ่าวพังงาในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และพังงา(บ้านป่าคลอก) บริเวณอ่าวคุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรี เกาะกระดาด และเกาะหมาก จังหวัดตราด เกาะสมุย และเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฏร์ธานี แหล่งหญ้าทะเลดังกล่าวควรได้รับการคุ้มครองให้มีการอนุรักษ์ รวมถึงมีการจัดการพื้นที่แนวหญ้าทะเลโดย
1. ตรวจสอบสถานภาพแนวหญ้าทะเลและติดตามการเปลี่ยนแปลงของแนวหญ้าทะเลในแต่ละ พื้นที่ตั้งแต่อดีตไปจนถึงคาดการณ์ทิศทางที่เป็นไปได้ไปในอนาคต ได้แก่ การจัดทำแผนที่แสดงแนวหญ้าทะเลโดยดำเนินการสำรวจแหล่งหญ้าทะเลในแต่ละ พื้นที่ รวมถึงการจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรในแนวหญ้าทะเล
2. จัดทำนโยบายและแผนแม่บท โดยการสนับสนุนให้มีการประสานงานกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชนซึ่งเป็น ชาวบ้านในพื้นที่ใช้ประโยชน์ในแหล่งหญ้าทะเล
3. สร้างจิตสำนึกเพื่อให้ทุกภาคส่วนมีการดูแล ปกป้องมิให้แนวหญ้าทะเลเสื่อมโทรม และมีการตื่นตัวในการอนุรักษ์หญ้าทะเล
4. กำหนดมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากตะกอนชายฝั่งเนื่องจากการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่ง มีการขยายตัวมากขึ้น และจากการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเล โดยเฉพาะการสร้างท่าเรือ สะพานที่จอดเรือ บริเวณแหล่งหญ้าทะเล
5. กำหนดกรอบการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้เกี่ยวกับการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ต่อประชาชน
6. กำหนดมาตรการคุ้มครองอย่างเข้มงวดในพื้นที่แหล่งหญ้าทะเลนอกเขตอุทยานทาง ทะเล ประกาศพื้นที่คุ้มครองทางทะเลอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชนที่มีผลกระทบตามชาย ฝั่ง
7. ห้ามทำการประมง โดยเฉพาะเครื่องมือประมง ที่ทำให้แหล่งหญ้าทะเลเสื่อมโทรม เช่น อวนลากอวนรุน อวนทับตลิ่งขนาดใหญ่ สนับสนุนให้มีการใช้เครื่องมือขนาดเล็ก เช่น อวนลอยลอบ(ยกเว้นลอบปูที่ต่อเป็นราวจำนวนมาก) แห เบ็ด
8. หามาตรการที่จะควบคุม และป้องกัน ผลกระทบที่เกิดจากตะกอนชายฝั่ง การขุดเปิดหน้าดินบนที่สูงชายฝั่ง การทำเหมืองแร่ในทะเล การขุดลอกปากแม่น้ำที่มีแนวหญ้าทะเลอยู่ใกล้เคียงและการพัฒนาชายฝั่งในรูป แบบต่างๆ
9. ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป โดยจัดทำสื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ชาวประมง หรือผู้ที่เข้าไปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชายฝั่งทะเล รวมถึงเจ้าหน้าที่องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ให้ทราบถึงประโยชน์ ความสำคัญของระบบนิเวศหญ้าทะเล
10. จัดให้มีการสัมนาเกี่ยวกับการอนุรักษ์หญ้าทะเล ให้แก่ชาวประมงขนาดเล็ก และชาวประมงขนาดกลาง ที่อาศัยทำการประมง ในบริเวณชายฝั่งทะเลที่มีหญ้าทะเล
11. จัดทำแผนแม่บทการจัดการหญ้าทะเลแห่งชาติ เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินการของหน่วยงานราชการและชุมชนต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมของการอนุรักษ์หญ้าทะเลของประเทศไทย 
การฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล
แนว ทางการฟื้นฟูแนวหญ้าทะเลก็มีความสำคัญซึ่งควรดำเนินการควบคู่ไปกับการ อนุรักษ์ ปัจจุบันมีการย้ายปลูกหญ้าทะเลทั้งในพื้นที่เดิมที่เสื่อมโทรมและในพื้นที่ ใหม่ ที่ไม่เคยมีหญ้าทะเล การย้ายปลูก คือวิธีการที่ใช้ในการย้ายหญ้าทะเลไปปลูกในบริเวณที่เคยมีหญ้าทะเลปรากฏมา ก่อน แต่ได้สูญหายไป เนื่องจากผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ หรือธรรมชาติ หรือการปลูกหญ้าทะเลขึ้นใหม่ในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม วิธีการที่ใช้ในการปลูกหญ้าทะเลมีหลายลักษณะ ได้แก่ 
1. การปลูกย้ายหญ้าทะเล  การปลูกย้ายหญ้าทะเลในพื้นที่ที่ต้องการ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ 
1.1 วิธีการที่ปราศจากวัสดุที่ช่วยในการยึดหน้าดิน
      – การถอนต้นหญ้าทะเลจากแหล่งเดิม นำมาล้างเอาส่วนของดินออก แล้วนำไปปลูกในแหล่งใหม่ วิธีนี้มักใช้กันในช่วงเริ่มแรกที่มีการย้ายปลูกหญ้าทะเล
      - การขุดเอาต้นหญ้าทะเลและตะกอนดินจากแหล่งเดิม แล้วนำไปปลูกในแหล่งใหม่ มีรายงานถึงความสำเร็จในด้วยวิธีนี้ คือ หญ้าที่ทำการย้ายปลูกสามารถที่จะแตกใบใหม่ และมีการแพร่ขยายของส่วน rhizome ตลอดจนการออกดอก
      - การขุดหญ้าทะเลและตะกอนดินจากแหล่งเดิมใส่ลงภาชนะ เพื่อนำไปปลูกในแหล่งใหม่ โดยมากวัสดุที่ใช้จะมีรูปเป็นทรงกระบอก เช่น ท่อพีวีซี เป็นต้น
      - การใช้ต้นเดี่ยวๆ ของหญ้าทะเลปลูกลงในกระป๋องแล้วนำไปปลูกในแหล่งใหม่ 
1.2 วิธีการที่มีวัสดุช่วยในการยึดหน้าดิน
      - วิธีการย้ายปลูกโดยการนำเอาต้นหญ้าทะเลเดี่ยวๆ มาผูกเข้ากับท่อ เว้นระยะห่าง เท่าๆ กันแล้วนำไปปลูกในแหล่งใหม่
      - วิธีการย้ายปลูกโดยใช้ก้อนอิฐแทนสมอ
      - การนำเอาหญ้าทะเลผูกติดกับลวดตาข่ายแล้วนำไปปลูกในแหล่งใหม่
      - การใช้หญ้าทะเลแต่ละต้นผูกติดกับตะปูแล้วนำไปปลูก แต่ปัญหาในการย้ายปลูก โดยใช้ตะปู คือ rhizome จะหยั่งลงไปในดินได้ไม่ลึกนักและสามารถถอนขึ้นได้ง่าย
      - การใช้ต้นอ่อนผูกติดกับสมอพลาสติกแล้วนำไปปลูก 
อย่างไรก็ตาม การย้ายปลูกหญ้าทะเลควรจารณาประเด็นที่สำคัญ เช่น
      - หญ้าทะเลแต่ละชนิดมีการแพร่กระจายตามความลึกของระดับน้ำทะเลไม่เท่ากัน
      - หญ้าทะเลแต่ละชนิดชอบลักษณะพื้นดินตะกอนแตกต่างกัน อย่างเช่นหญ้าคาทะเลเจริญเติบโตได้ดีบนดินโคลน หญ้าเงาหรือหญ้าอำพันชอบทรายปนโคลนเล้กน้อยมีปนเปลือกหอย
      - แหล่งหญ้าทะเล ส่วนใหญ่พบอยู่ถัดจากป่าชายเลน สันทรายปากแม่น้ำเป็นบริเวณที่เหมาะสม
      - การนำต้นพันธุ์มาจากพื้นที่แหล่งหญ้าทะเลในอ่าวใกล้เคียงควรคำนึงถึงผล กระทบของแหล่งพันธุ์เดิมด้วย ควรสุ่มขุดต้นพันธุ์ในลักษณะกระจายพื้นที่กว้าง เพื่อการฟื้นตัวแตกต้นใหม่กลับคืนสภาพสมบูรณ์ได้รวดเร็ว
      - การย้ายปลูกหญ้าทะเลในพื้นที่ทะเลเปิด อาจถูกทำลายได้ง่าย เมื่อพบกับกระแสน้ำหรือคลื่นลมแรง
นอก จากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่จะช่วยสนับสนุนให้การฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลประสบความสำเร็จ เช่นการความรู้ความเข้าใจแก่ชุมชนในการดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง  การสร้างชุมชนให้เข็มแข็งสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของหญ้าทะเลกับผู้นำ ท้องถิ่น การสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนกับภาครัฐในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติร่วม กัน การควบคุมการใช้เครื่องมือประมงที่ทำลายแหล่งหญ้าทะเล เช่น อวนลาก อวนรุน อวนทับตลิ่งขนาดใหญ่ และการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ให้มีความเชื่อมโยงทุกระบบนิเวศทางทะเล โดยหลักการที่ถูกต้อง ควรปล่อยให้หญ้าทะเลฟื้นตัวตามธรรมชาติ เพราะระบบนิเวศหญ้าทะเลสามารถฟื้นตัวได้เร็ว (ประมาณ 3-6 เดือน ถ้าหญ้าทะเลยังมีระบบรากฝังอยู่ใต้ดิน) และใช้แนวทางการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยลดภัยคุกคามที่มีผลทำให้หญ้าทะเลเสื่อมโทรม ส่วนการย้ายปลูกหญ้าทะเล สามารถทำได้ในพื้นที่ขนาดเล็ก มีความเหมาะสมเท่านั้น
การย้ายปลูกหญ้าทะเล
2. การเพาะเลี้ยงหญ้าทะเล
การ เพาะเลี้ยงหญ้าทะเลสามารถทำได้โดยการเก็บเมล็ดของหญ้าทะเลมาเพาะให้เจริญ เติบโตพอสมควรและมีรากที่สมบูรณ์ แล้วจึงนำไปปลูกในที่ที่เหมาะสม โดยให้ต้นกล้าของหญ้าทะเลติดกับวัสดุประเภทใยปอหรือตะแกรง ที่สามารถย่อยสลายได้ภายหลังและไม่เกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งพบว่าหญ้าทะเลมีการเติบโตได้ดี แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงปริมาณของเมล็ดพันธุ์หญ้าทะเลว่ามีมากน้อยเพียงใดใน ธรรมชาติและควรให้เมล็ดพันธุ์หญ้าทะเลมีการเจริญแพร่พันธุ์ในแหล่งเดิมตาม ธรรมชาติด้วย (สมบัติและคณะ, 2549)
จากการศึกษาของ ภูเบศ (2554) ที่ศึกษาการศึกษาอัตราการงอกของหญ้าคาทะเล (Enhalus acoroides) จากการเพาะเมล็ดในตู้ทดลองและการย้ายปลูกคืนสู่ธรรมชาติ พบว่าอัตราการงอกของเมล็ดหญ้าทะเลและการอนุบาลต้นอ่อนของหญ้าทะเลในตู้ อนุบาลมีอัตรารอดเป็น 100% แสดงให้เห็นว่า เมล็ดของหญ้าคาทะเลมีอัตรางอกที่สูงมาก เนื่องจากมีเมล็ดสะสมอาหารขนาดใหญ่ ส่วนการย้ายปลูกจากตู้อนุบาลลงพื้นที่แหล่งหญ้าทะเลตามธรรมชาติในพื้นที่ อ่าวป่าคลอก อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต พบว่าในเดือนแรกการรอด 82.66% ในเดือนที่สองอัตรารอด 75.28% และเดือนสุดท้ายอัตรารอด 70.14% อัตราการตายสูงที่เกิดขึ้นอาจเกิดเนื่องจากต้นกล้ามีขนาดเล็ก มีการเกาะของสาหร่ายทะเลตามใบและลำต้นของหญ้าทะเล รวมทั้งการทับถมของตะกอนดินในพื้นที่ทดลองปลูก
                การเพาะหญ้าคาทะเล : เมล็ดหญ้าคาทะเล และการเพาะหญ้าทะเลในบ่อทดลอง 
ใน ประเทศไทย พบว่ามีหญ้าทะเลเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์มากในบ่อดินที่ใช้เป็นบ่อพัก น้ำทะเล หรือในบ่อดินที่เป็นบ่อกุ้งหรือสัตว์น้ำอื่น เช่น พบหญ้าเงาในบ่อพักน้ำทะเล บริเวณอ่าวคุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรี หรือบ่อดินพักน้ำทะเลของสถานีพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จังหวัดตรัง พบหญ้าอย่างน้อย 3 ชนิด คือ หญ้าเงา หญ้าชะเงาใบฟันเลื่อย และหญ้ากุยช่ายเข็ม พบหญ้าตะกานน้ำเค็มที่บางขุนเทียน กรงเทพฯ และที่บางกระซ้าขาวและบางกระเจ้า จังหวัดสมุทรสาคร สำหรับศูนย์วิจัยและทดสอบพันธุ์สัตว์น้ำเพชรบุรีก็พบหญ้าตะกานน้ำเค็มด้วย เช่นกัน

หญ้า ทะเลที่เจริญเติบโตในบ่อพักน้ำทะเลและบ่อเลี้ยงกุ้งรวมทั้งบ่อบำบัดน้ำทะเล จากการเพาะเลี้ยงนี้ สามารถนำไปปลูกเพิ่มเติมในแหล่งธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลที่เสื่อม โทรมได้หรือไม่นั้น ยังต้องศึกษาถึงความเป็นไปได้เพราะในทะเลมีปัจจัยที่เป็นอุปสรรคมากมายใน เรื่องพื้นที่ที่เหมาะสมและกระแสน้ำ รวมถึงความคุ้มทุนของเงินและแรงงานด้วย ซึ่งจะเปรียบเทียบกับการรักษาแหล่งหญ้าทะเลนั้นต้องถูกแก้ไขให้หมดสิ้นไป ก่อนที่จะทำการฟื้นฟู ส่วนในบ่อพักน้ำนั้น หญ้าทะเลมีประโยชน์ในการช่วยดูดซึมสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำทะเลซึ่งน่าจะส่ง ผลดีช่วยทำให้น้ำทะเลมีคุณภาพดีขึ้นและเหมาะกับการนำไปใช้ในการเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำวัยอ่อน อีกทั้งน่าจะมีการทดลองเลี้ยงสัตว์น้ำบางชนิดในบ่อที่มีหญ้าทะเล จะเป็นที่หลบภัยและแหล่งอาหารที่ดีให้กับสัตว์น้ำเหล่านี้
< >